เมนู

พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 1. ญาณกถา 1. สุตมยญาณนิทเทส
แล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้ยถาภูตญาณทัสสนะ ได้ยถาภูตญาณ-
ทัสสนะแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้
บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้อาทีนวานุปัสสนา ได้อาทีนวานุปัสสนาแล้ว ธรรมนั้น
เป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้
ปฏิสังขานุปัสสนา ได้ปฏิสังขานุปัสสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้น
กำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้วิวัฏฏนานุปัสสนา
ได้วิวัฏฏนานุปัสสนาแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้ว
อย่างนี้
บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้โสดาปัตติมรรค ได้โสดาปัตติมรรคแล้ว ธรรม
นั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อ
ต้องการได้สกทาคามิมรรค ได้สกทาคามิมรรคแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้น
กำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้อนาคามิมรรค
ได้อนาคามิมรรคแล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้ว
อย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการได้อรหัตตมรรค ได้อรหัตตมรรคแล้ว ธรรมนั้น
เป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณาแล้วอย่างนี้ บุคคลพยายามเพื่อต้องการ
ได้ธรรมใด ๆ ได้ธรรมนั้น ๆ แล้ว ธรรมนั้นเป็นธรรมอันบุคคลนั้นกำหนดรู้และพิจารณา
แล้วอย่างนี้
ชื่อว่าญาณ เพราะมีสภาวะรู้ธรรมนั้น ชื่อว่าปัญญา เพราะมีสภาวะรู้ชัด
เพราะเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า การทรงจำธรรมที่ได้สดับมาว่า “ธรรมเหล่านี้ควร
กำหนดรู้” ปัญญารู้ชัดธรรมที่ได้สดับมานั้น ชื่อว่าสุตมยญาณ (2)
[23] การทรงจำธรรมที่ได้สดับมาว่า “ธรรมเหล่านี้ควรละ” ปัญญารู้ชัด
ธรรมที่ได้สดับมานั้น ชื่อว่าสุตมยญาณ เป็นอย่างไร คือ
ธรรม 1 อย่างที่ควรละ คือ อัสมิมานะ1
ธรรม 2 อย่างที่ควรละ คือ อวิชชา 1 ภวตัณหา 1
ธรรม 3 อย่างที่ควรละ คือ ตัณหา 3
ธรรม 4 อย่างที่ควรละ คือ โอฆะ 4

เชิงอรรถ :
1 อัสมิมานะ หมายถึงความถือตัวว่ามีอยู่ในอุปาทานขันธ์ 5 มีรูปเป็นต้น (ขุ.ป.อ. 1/23/127)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 31 หน้า :32 }


พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค [1. มหาวรรค] 1. ญาณกถา 1. สุตมยญาณนิทเทส
ธรรม 5 อย่างที่ควรละ คือ นิวรณ์ 5
ธรรม 6 อย่างที่ควรละ คือ ตัณหา 6
ธรรม 7 อย่างที่ควรละ คือ อนุสัย 7
ธรรม 8 อย่างที่ควรละ คือ มิจฉัตตะ 81
ธรรม 9 อย่างที่ควรละ คือ ธรรมที่มีตัณหาเป็นมูล 92
ธรรม 10 อย่างที่ควรละ คือ มิจฉัตตะ 103
[24] ปหานะ 2 คือ
1. สมุจเฉทปหานะ (การละด้วยการตัดขาด)
2. ปฏิปัสสัทธิปหานะ (การละด้วยสงบระงับ)
สมุจเฉทปหานะซึ่งเป็นโลกุตตรมรรคและปฏิปัสสัทธิปหานะซึ่งเป็นโลกุตตรผล
ในขณะแห่งผล ย่อมมีแก่บุคคลผู้เจริญมรรคที่ให้ถึงความสิ้นไป
ปหานะ 3 คือ
1. เนกขัมมปหานะ เป็นเครื่องสลัดออกจากกาม
2. อรูปฌาน เป็นเครื่องสลัดออกจากรูปฌาน
3. นิโรธ เป็นเครื่องสลัดออกจากสังขตธรรมที่เกิดขึ้นแล้วอย่างใดอย่างหนึ่ง
ซึ่งอาศัยกันและกันเกิดขึ้น
บุคคลผู้ได้เนกขัมมะย่อมละและสละกามได้ บุคคลผู้ได้อรูปฌานย่อมละและ
สละรูปได้ บุคคลผู้ได้นิโรธย่อมละและสละสังขารได้

เชิงอรรถ :
1 มิจฉัตตะ 8 ได้แก่ (1) มิจฉาทิฏฐิ (2) มิจฉาสังกัปปะ (3) มิจฉาวาจา (4) มิจฉากัมมันตะ
(5) มิจฉาอาชีวะ (6) มิจฉาวายามะ (7) มิจฉาสติ (8) มิจฉาสมาธิ (ขุ.ป.อ. 1/23/129)
2 ธรรมที่มีตัณหาเป็นมูล 9 ได้แก่ (1) ปริเยสนา (2) ลาภะ (3) วินิจฉยะ (4) ฉันทราคะ
(5) อัชโฌสานะ (6) ปริคคหะ (7) มัจฉริยะ (8) อารักขกะ (9) อารักขาธิกรณะ (ขุ.ป.อ. 1/23/130)
3 มิจฉัตตะ 10 ได้แก่ มิจฉัตตะ 8 เพิ่มมิจฉาญาณและมิจฉาวิมุตติอีก 2 จึงเป็น 10 (ขุ.ป.อ. 1/23/131)

{ที่มา : โปรแกรมพระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย เล่ม : 31 หน้า :33 }